เทศน์พระ

คุณธรรม

๘ พ.ค. ๒๕๕๒

 

คุณธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม วันนี้วันลงอุโบสถนะ วันนี้เป็นวันสำคัญของพุทธศาสนา เราเป็นบริษัทหนึ่งในพุทธศาสนา ถ้าสำคัญตนผิดมันจะไปทางผิดหมดเลย แต่ความสำคัญของเรายังไม่มีนะ เราต้องสร้างความสำคัญของเราขึ้นมา ถ้าสร้างความสำคัญนะ มันต้องมีความเพียรชอบ เราจะรู้จักวิธีการของเรา ถ้าเราไม่รู้จักวิธีการของเราความสำคัญจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ความสำคัญ ความจริง มันจะเกิดขึ้นมาจากความจริง ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ สิ่งที่อุตสาหะเกิดขึ้น ความเกิดขึ้น ความตกผลึกของมัน การลองผิดลองถูก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมาได้ ลองผิดลองถูกอยู่ ๖ ปี คนที่มีวุฒิภาวะขนาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีการลองผิดลองถูกอยู่ ๖ ปี ความลองผิดลองถูกนั้นท่านทำด้วยความจริงใจของท่าน ความผิดนั้นผิดเพราะอวิชชา ผิดเพราะความไม่เข้าใจ ผิดเพราะรากฐานของธรรมยังไม่มี

แต่ในปัจจุบันนี้รากฐานของธรรมมีนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ ครูบาอาจารย์ของเราทำเป็นตัวอย่างมา มันมีเครื่องหมาย มีคติธรรม มีผู้เดินนำหน้าเราไป มันควรจะทำให้เรามีกำลังใจ เราไม่ว้าเหว่

ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้ “ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ” ธรรมวินัยคือข้อวัตรปฏิบัติ ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา ถ้าเราซื่อตรงกับธรรมวินัย

ถ้าเราไม่ซื่อตรงกับธรรมวินัย เราจะตีความธรรมวินัยเข้ากับความเห็นของเรา เราจะตั้งความมีทิฏฐิมานะของเราสูงจรดฟ้า แล้วก็เอาธรรมวินัยมารองรับความทิฏฐิมานะของเรา มันจะไม่เป็นไปตามความเป็นจริง แต่ถ้าเป็นไปตามความเป็นจริง ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา เราทำตามธรรมวินัย คำว่าทำตามนะ ศรัทธาความเชื่อฆ่ากิเลสไม่ได้

แต่ตามความเป็นจริงมันจะฆ่ากิเลสของมัน ความเป็นจริงเห็นไหม ดูสิ สิ่งสกปรก เราชำระล้างให้มันสะอาดขึ้นมา สิ่งที่สกปรกมันก็หลุดออกไป มันเหลือแต่ความสะอาดไว้

จิตใจก็เหมือนกัน มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ในหัวใจ ความสงบของใจตั้งสติแล้วทำสมาธิ มันสงบชั่วคราว มันเป็นหินทับหญ้า มันไม่ได้ทำความสะอาด แต่มันทำความสงบ เอาความสงบนั้นมาทำความสะอาดอีกรอบหนึ่ง หัวใจมันสะอาดขึ้นมา ความสะอาดในหัวใจขึ้นมา เราไม่ต้องไปลังเลสงสัย เราไม่ต้องไปวิตกกังวล

สิ่งที่ปัจจุบันนี้มันไม่เกิดความสำคัญขึ้นมา เพราะเราวิตกกังวลใช่ไหม ว่าเราจะทำผิดวินัย บางคนพยายามตีความให้เข้าใจให้ได้ การตีความกับความเข้าใจมันใช่เนื้อของธรรม ความตีความกับความเข้าใจ เห็นไหม ความคิดไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ความคิด

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา ศาสดาไม่ใช่เรา ตัวเราเป็นตัวเรา ศาสดาเป็นศาสดา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่สันทิฏฐิโก ความรู้ธรรมเห็นเฉพาะตนของเรา ความเข้าใจจริงตามสัจธรรมของเรา ทำไมมันถึงเข้าใจจริง ทำไมสิ่งที่เราเข้าไปเผชิญหน้า เราเข้าไปสัมผัส มันเกิดขึ้นจากอะไร? เกิดขึ้นจากเราซื่อตรง สัจธรรมเห็นไหม ธรรมวินัยที่เราซื่อตรงแล้วเราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา

ศาสนานี้มีเนื้อหาสาระ ศาสนานี้ไม่ใช้ศาสนาว่างเปล่า ศาสนานี้เห็นไหม สูญเปล่า สูญเปล่า สุญญตา สุญญตา สูญจนไม่มีอะไรเลย สูญจนไม่มีหลักมีเกณฑ์ สูญจนไม่มีต้น ไม่มีปลาย สูญจนจับต้องสิ่งใดๆ ไม่ได้ อย่างนั้นไม่ใช่ศาสนาหรอก ศาสนาไม่ใช่สูญเปล่า

สูญมี.. สูญจากกิเลส แต่ความรู้สึกความเป็นจริงของเรามี ความสูญจากกิเลสเห็นไหม กิเลสตัณหาความทะยานยากสูญออกไป สูญทำไมเกิดขึ้นไม่ได้ ทำลายจนมันเกิดขึ้นกับเราอีกไม่ได้เลย ใครเป็นผู้ทำลาย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ครองชีวิตคฤหัสถ์มา ละล้าละลังกว่าจะออกบวช นางพิมพาคลอดราหุลแล้ว หัวใจของพ่อนะ ตั้งแต่เป็นพระเวสสันดร เวลากัณหา-ชาลีถูกชูชกขอไป ชูกชกตีกัณหา-ชาลีต่อหน้า หัวใจของพ่อเจ็บปวดขนาดไหน เขาเอาลูกของตัวเองไป แล้วไปทำร้ายต่อหน้าเรา ทั้งๆ ที่เป็นกษัตริย์ เป็นนักรบ

ชูชกมีอะไร ชูชกเป็นขอทาน ไม่มีวิชาการใดๆ เลย ขอลูกไปแล้วตีต่อหน้ามันเจ็บปวดขนาดไหน แต่เพราะปรารถนาโพธิญาณ ความเจ็บปวดอันนั้นเก็บไว้ในใจ เห็นไหม นี่มีขันติธรรม มีความเพียร ตั้งความเพียร ตั้งเป้าว่าจะเอาโพธิญาณ สิ่งนี้ความเสียสละมันเสียสละได้ยาก ทั้งๆ ที่ความเสียสละอย่างนี้มันยังมีความสะเทือนหัวใจ เพราะอะไร กิเลสเป็นเรา ความคิดเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเรา ธรรมะเป็นเรา ธรรมะกับเรา เราคือกิเลส ธรรมะเป็นธรรมะ ธรรมะเป็นเราไม่ได้ ถ้าธรรมเป็นเราขึ้นมา มันไม่มีเรา มันเป็นธรรมล้วนๆ อันนั้นเป็นธรรม ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีสิ่งใดเลย

แต่ขณะนี้เป็นพระเวสสันดรมันมีแรงปรารถนา ยังมีความต้องการปรารถนาไป ตายจากพระเวสสันดรไปรอจังหวะมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ พอเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะขึ้นมาแล้ว เวลาออกมาบวชนั้นนางพิมพาคลอดราหุลแล้วนะ นี่ละล้าละลัง แล้วออกมา ๖ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะ มาเริ่มต้นมีความสุขเหรอ?

มีความสุข วิมุตติสุขเกิดขึ้นมาจากการตรัสรู้ขึ้นมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วต่างหากล่ะ แต่ขณะที่เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธิธัตถะ ตั้งแต่สวนลุมพินี “เราเกิดมาชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ออกไปปฏิบัติเลย ทั้งๆ ที่เพิ่งเกิดนะ เดินได้ ๗ ก้าว “เราเกิดมาชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เราจะไม่เกิดอีกแล้ว”

อำนาจวาสนาบารมีของคนมันส่งเสริมมา ทั้งๆ ที่กิเลสยังอยู่ในหัวใจเป็นเรื่องธรรมดา แต่มีแรงปรารถนา มีความตั้งใจ เพราะสร้างมาด้วยบุญญาธิการ สร้างมาจนถึงที่สุดแล้วว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ตรัสรู้ธรรมเลย อยู่ครองเรือน พระเจ้าสุทโธทนะให้มีครอบครัว จนเกิดสามเณรราหุล ราชโอรสเกิดแล้ว นี่จะออกบวชจะออกอย่างไร นี่ละล้าละลัง ละล้าละลัง

สุดท้ายแล้วต้องตัดใจออกจากราชวัง ออกไปเพื่อแสวงหาโมกขธรรม ออกไปค้นคว้าอยู่ นางพิมพาคอยฟังข่าวว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน กินมื้อเดียวก็กินมื้อเดียวเหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านอนกลางดินกินกลางทราย ก็นอนกลางดินกินกลางทรายเหมือนกัน ด้วยความมุ่งมั่น ด้วยความปรารถนา ตั้งเป้าไว้เหมือนกัน แต่ความเจ็บปวดคนละอย่าง

เจ็บปวดอันหนึ่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การเจ็บปวดค้นคว้า การออกไปค้นคว้า ออกไปเผชิญกับความลำบาก เผชิญกับกิเลส เผชิญกับสังคม เผชิญกับโลก เผชิญกับอะไรต่างๆ นางพิมพาอยู่ในราชวัง คอยฟังข่าวว่าทำอย่างไร จะทำตาม ทำตาม

นี่คือจุดมุ่งหมาย คือเป้าหมาย เป้าหมายคืออธิษฐานบารมี บารมี ๑๐ ทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่การรื้อค้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า! มันไม่ได้มาลอยๆ หรอก อ้อนวอนขอเอาแล้วมันพรวดพราดออกมาเป็นพระอรหันต์ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องมีการกระทำ มีการต่อสู้กับตัวเองกันทั้งนั้นแหละ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นผู้สร้างสมบุญญาธิการมาขนาดนี้ ยังลงทุนลงแรงขนาดนี้ แล้วเราเป็นสาวก สาวกะ เห็นภัยในวัฏสงสาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ็บปวดยิ่งกว่าเรา เจ็บปวดมากกว่าเรา ออกจากราชวังเจ็บปวดมาก เพราะเป็นกษัตริย์ออกไปแล้วไม่มีอะไรมารองรับ ออกไปเป็นขอทาน ออกไปเป็นนักบวช มันยังไม่มีความศรัทรา ไม่มีความเชื่อของใคร มีปัญจวัคคีย์ออกมาอุปัฏฐาก เพราะว่าอัญญาโกณฑัญญะพยากรณ์มาแล้วว่าต้องเป็นศาสดาแน่นอน ออกไปรื้อค้น ไปแสวงหากัน

ขณะที่เขาแสวงหาก็เหมือนเรา เราปฏิบัติมา เราบวชใหม่ๆ มีใครมาสนใจ ไม่มีใครสนใจหรอก แล้วเราก็ไม่สนใจเขาด้วย เขาไม่สนใจเราด้วย ทำไมต้องไปสนใจ สนใจ คือกิเลส สนใจคือการละล้าละลัง การดึงเข้าไปอยู่กับโลก แล้วเวลาเราออกบวชของเรา เราต้องตั้งสัจจะของเรา แล้วมุ่งตรงต่อหัวใจของตัวเอง เพราะจิตสงบ จิตของเรามันจะสงบเอง ถ้าจิตของเราไม่สงบ จิตของเราฟุ้งซ่าน จิตของเราติดข้องไปกับโลก ติดข้องก็เป็นเรื่องต่างๆ ของโลกนี้ทั้งหมด เราติดข้องไปหมดเลย

โลกนี้มีเพราะมีเรา โลกนี้มันมีของมันโดยธรรมชาติของมัน แต่เราไปยุ่งกับมันเอง เราตั้งเป้าใช่ไหมว่าเราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราบวชนี่ เราบวชเพื่ออะไร เราบวชเพื่อจะชำระกิเลสของเรา การชำระกิเลสของเรากับความเป็นอยู่ของโลก เพระเราอยู่กับเขามาแล้ว เราอยู่กับโลกมาแล้วจนเติบโตมา จนมีอายุครบบวชจนออกมาบวชแล้ว เราอยู่กับโลกมาตลอด แล้วโลกมันให้อะไรกับเรามา โลกมันให้ชีวิตเรามา

กามคุณ ๕ คุณของการดำรงเผ่าพันธุ์ คุณของโลกของเขา เพราะมันเป็นสืบต่อตามสัญชาตญาณของโลก เราเกิดมากับโลกหรือเกิดมากับวัฏฏะ สิ่งที่เกิดมากับวัฏฏะๆ เราก็อยู่กับเขามาแล้ว เวลาเราออกบวชแล้ว เราออกมาจากโลก ยังไม่ได้ออกมาจากวัฏฏะ เพราะจิตมันยังออกไม่ได้ เราออกมาได้ด้วยสมมุติสงฆ์ เราบวชแล้วเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ภิกษุเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร คนที่เห็นภัยเหมือนคนเป็นโรคอยากจะหายจากโรค ต้องรักษาตัวเอง ต้องรักษาเรา เราเห็นโลกกิเลส

วันนี้เป็นวันสำคัญ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาวันนี้ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา เป็นผู้ก้าวเดินนำหน้าของเราไป ครูบาอาจารย์ของเราเป็นผู้ก้าวเดินมา เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราต้องมีสติสัมปชัญญะของเรา

วันปกติมันก็เป็นวันปกติ วันสำคัญมันต้องตื่นตัว ต้องตั้งสติ ต้องคิดว่า เป้าหมายของเรา เราจะทำอย่างไรกับชีวิตของเรา ชีวิตของเราๆ จะดำรงชีวิตของเราอย่างนี้เป็นบุญกุศล เมื่อชำระกิเลสไม่ได้วัฏฏะมันสั้นเข้ามา เราจะปล่อยให้วัฏฏะสั้นเข้ามา แล้วเราต้องไปเผชิญหน้ากับอนาคตอีกไหม แต่ถ้าเรามีความมั่นใจของเราๆ จะเผชิญหน้ากับปัจจุบันนี้ให้ได้

ในปัจจุบันนี้เราเกิดมาแล้ว เรามีความศรัทธาความเชื่อในศาสนา ดูสิ ความเชื่อเป็นอริยทรัพย์ของมนุษย์ ถ้าไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อ เขาจะไม่สนใจในเรื่องของศาสนา ถ้าเอาวิทยาศาสตร์มาจับต้องเรื่องของศาสนาเป็นเรื่องของการเสียเปรียบทั้งนั้น เพราะเป็นเรื่องของการเสียสละ เราให้อย่างเดียว

ดูสิ ไม่มีสิ่งใดให้ก็ให้ทางกัน เวลาเราเดินสวนทางกัน เราให้โอกาสเขาเดินไปก่อน เราหลบหลีกให้เขา เป็นบุญทั้งนั้นเลย บุญเกิดจากการที่เราเสียสละกิริยาวัตถุ เรานั่งสมาธิภาวนาอยู่ เรามีสิทธิจะอยู่สะดวกอย่างไรก็ได้ แค่นั่งสมาธิมันก็เป็นบุญแล้ว เพราะเราเสียสละความสะดวกสบายของเรา เพื่อบังคับตน! บังคับตนอยู่ในร่องในรอยของพุทธศาสนา

พุทธศาสนา เห็นไหม การบำเพ็ญตบะธรรม สิ่งนี้เราทำของเราได้ ถ้าเราเห็นภัยในวัฏสงสารเราต้องบังคับเรา ความดีมันจะเกิดขึ้นมาจากการฝึกฝน เกิดจากการกระทำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิ์สัตว์มา ๔ อสงไขย สร้างความดีมามหาศาล เสียสละมาตลอด ถ้าไม่มีการเสียสละมาจะมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ การเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องสร้างสมบุญญาธิการมา ในปัจจุบันนี้ถ้าเราไม่ได้สร้างบุญกุศลมา เพราะ! เพราะเราเป็นสัตว์ที่มีโอกาสมากที่สุด เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “กึ่งพุทธกาล ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง”

แล้วปัจจุบันนี้ศาสนาเจริญขึ้นมาเจริญในที่ไหน เจริญในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมาก่อน ถ้าศาสนาไม่ได้สถิตในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มันจะเอาธรรมที่ไหนออกมาเผยแผ่

ปริยัติเป็นธรรมจำมา ธรรมทางวิชาการ มันมีอยู่ในตำรามาตลอด มันมีอยู่ในตำราขนาดไหนมันก็อยู่ในตำรา ปลวกมันกินทั้งเล่ม ตำราปลวกมันกินหมดเลย อย่าว่าแต่เราเอามาต้มน้ำกินให้มันซึมเข้าไปในสายเลือด มันเป็นไปไม่ได้! เพราะมันเป็นธาตุ มันเป็นวัตถุ

ดูสิ การกิน เราคิดว่าการกินเพื่อความสะอาด การกินพืชสะอาดกินเพื่อความสะอาด ควายมันก็กินหญ้า วัวมันก็กินหญ้า ถ้าการกินเป็นความสะอาด ร่างกายนี้ถ้ามันสะอาดได้มันเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะการกินนี้มันกินเพื่อให้ร่างกาย เพื่อธาตุดำรงชีวิตอยู่ได้เท่านั้นเอง

แต่ความจริงเป็นเรื่องของความรู้สึก มันเป็นเรื่องของใจ กิเลสมันอยู่ที่ใจ มันถึงเอาข้อปฏิบัติ เอาสติปัญญาเข้าไปชะล้างในหัวใจ มันถึงย้อนกลับมา ดูสิ การกิน ปลวกมันกินไปทั้งเล่มมันก็ไม่รู้เรื่องของมันหรอก เราจะศึกษาขนาดไหน ถ้าไม่แปลนะ ปริยัติ! ปฏิบัติ!

ถ้าเอาปริยัติมาเป็นปริยัติมันก็เป็นปริยัติวันยังค่ำ เราต้องแปลจากความหมายจากปริยัติให้มันเป็นปฏิบัติ แล้วแปลจากปฏิบัติที่เป็นทิฏฐิมานะ เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากว่ามึงถูก.. กูแน่.. สิ่งนี้มันแปลด้วยสติสัมปชัญญะ

สติสัมปชัญญะมันแปลเพราะมันเป็นสันทิฏฐิโกไง ถ้าจิตมันสงบ มันสงบเพราะเหตุใด ถ้าจิตมันไม่สงบ มันไม่สงบเพราะเหตุใด สิ่งใดมันมีกิเลสตัณหาความทะยานยากในหัวใจ กิเลสมันรู้อยู่กับเราๆ รู้อยู่แล้ว เห็นไหม ขนาดกิเลสอยู่กับเรานะ เรายังไม่เข้าใจกิเลสเลย

“นี่เป็นอะไรครับ นี่เป็นอะไรครับ”

“ก็กิเลสไง”

กิเลสคือความเคยใจ ใจที่มันได้สัมผัส จิตมันนอนอยู่ในโทสะ โมหะ มันโดยโทสคฺคินา โมหคฺคินา จิตมันนอนจมอยู่กับความโลภ ความโกรธ ความหลง มันนอนจมอยู่กับขี้! ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มันจมอยู่กับมัน โลกเวลาขี้ต้องชำระมันจึงจะสะอาดนะ เวลามีสิ่งใดมีขี้เหงื่อขี้ไคล อาบน้ำชำระความสะอาดได้ แต่ความขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มันชำระสะอาดไม่ได้ มันทำให้สะอาดไม่ได้ มันเป็นความเคยใจ แล้วจะต่อสู้กับมันอย่างไร

มันถึงต้องแปลจากทฤษฎี แปลจากการศึกษา แปลจากความรู้ แล้วมาแปลเป็นการปฏิบัติ เราเป็นนักรบ เราเป็นภิกษุนะ วันนี้เป็นวันสำคัญทางศาสนา ถ้าจะมีความสำคัญขึ้นมาบ้าง เราก็มีสติสัมปชัญญะ นี่เนสัชชิกไม่นอน จะต่อสู้เพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเรามีความสำคัญขึ้นมา เราเป็นคนดี เราจะทำความจริงขึ้นมาของเรา เราจะมีความสำคัญขึ้นมา

แต่วันสำคัญทางศาสนา แร่ธาตุทองคำ ดูสิ ดูเจดีย์ทองคำสิ! เขาใช้ทองคำทั้งนั้น เขาหล่อหลอมเป็นเจดีย์ขึ้นมา แร่ธาตุที่มีคุณค่ามันยังไม่มีชีวิตเลย มันมีคุณค่าอะไรของมัน เพชรนิลจินดาที่ประดับเจดีย์ก็ประดับไว้ให้มันเสื่อมโทรมไง ประดับไว้ให้เราซ่อมแซมมัน เอาเพชรเม็ดใหม่ขึ้นไปติดอีก นี่สิ่งที่มีคุณค่าของแร่ธาตุ คุณค่าของวัตถุ

แล้วคุณค่าของหัวใจล่ะ คุณค่าของธรรม ธรรมะที่เรานั่งกันอยู่นี่ มนุษย์เหมือนกัน ครูบาอาจารย์เราเป็นมนุษย์เหมือนกัน เป็นพระเหมือนกัน ทำไมเทวดา อินทร์ พรหม ต้องมาฟังเทศน์ หัวใจมันไม่เหมือนกันนะ หัวใจมนุษย์นี่แหละ แต่มนุษย์ที่มีคุณธรรมในหัวใจ

คุณธรรมมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ใจนี้มันกลั่นออกมาจากอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณมันเกิดขึ้นมาจากในหัวใจนั้น หัวใจนี้มันได้กลั่นออกมา จิตมันกลั่นออกมาจากอริยสัจที่มันเป็นอริยภูมิ ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีขึ้นมา เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา สิ่งนี้เป็นคุณธรรม มันมาจากไหน!

ถ้าเป็นวันสำคัญ มันต้องมีความสำคัญของเรา เรามีความสำคัญขึ้นมา มันจะมีความสำคัญนะ ถ้าเราไม่สำคัญ มันวันสำคัญทางศาสนา แต่เราเลวทรามไง ศาสนาก็สำคัญไปสิ เราก็นอนจมกับขี้นั่นน่ะ มันไม่มีความสำคัญเลย

ถ้ามันมีความสำคัญทางศาสนา เราต้องมีความสำคัญ เราต้องเห็นคุณค่าของศาสนา เห็นศีล สมาธิ ปัญญา เราสร้างขึ้นมา เราทำขึ้นมา เราบวชมาแล้ว หน้าที่การงาน เราแปลจากโลกให้เป็นธรรม มันเป็นโลกๆ ชีวิตความเป็นอยู่นี้เป็นโลก นกยังมีรวงมีรัง คนก็ยังมีที่อยู่อาศัย พระก็มีกุฏิวิหารเป็นที่พึ่งที่อาศัย เราต้องรักษาเพราะ! เพราะเป็นของๆ สงฆ์

ภิกษุ! ถ้าไม่เอื้อเฟื้อในธรรมวินัย ไม่ดูแลรักษามันก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์ มันแปลไงเรื่องของโลกๆ นี่แหละ แต่ใจมันเป็นธรรมมันแปลเป็นธรรม เราจะบำรุงรักษา ของสิ่งนี้ เป็นของสาธารณะ บุคคลเขาต้องการบุญกุศลเขาได้เสียสละขึ้นมาทำไว้ให้กับผู้ที่ไม่มีเรือน อารามิก ภิกษุไม่มีบ้านไม่มีเรือนแต่มีวัดเป็นที่อาศัย

อนาคามีจิตมันพ้นออกจากวัฏฏะ มันพ้นจากกามภพ มันไม่มีที่อาศัย มันเกิดบนพรหม มันเป็นหนึ่งเดียวนะ อารามิกทั้งข้างนอกข้างใน ข้างนอกคือว่าพระไม่มีบ้านไม่มีเรือน พระไปอยู่บ้านไม่ได้ พระต้องอยู่วัด อยู่ที่อาศัยที่เป็นสาธารณะ เขามีสิทธิ์ศรัทธาของเขา เขาได้สร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ขึ้นมา พระเป็นผู้ที่ไม่มีเรือน อาศัยอยู่ในวัดวาอาราม

ถ้าเราไม่รักษาสิ่งนี้ไว้ สิ่งนี้มันก็ต้องชำรุดไปเป็นธรรมดา ภิกษุถึงต้องบำรุงรักษาเพื่ออะไร เพื่อเจริญศรัทธาไทยของเขา เขาสร้างของเขา เขาทำบุญกุศลของเขา เขาสมบูรณ์ของเขา เขาจบกระบวนการของเขาแล้ว เขาได้ถวายพระไปแล้วก็จบแล้ว หน้าที่ของเขาจบแล้ว

หน้าที่ของเราล่ะ หน้าที่ของผู้อยู่อาศัย หน้าที่ของผู้ดูแล มันเป็นของๆ สงฆ์ ไม่ใช่ของๆ เขา ของที่ถวายสงฆ์แล้ว เราเป็นสังฆะ เป็นสงฆ์ เป็นสมมุติสงฆ์ ถ้าเป็น ๔ องค์ขึ้นไปก็เป็นสังฆกรรรม เป็นการกระทำ เราดูแลรักษาของเรา รักษาเพื่อใคร รักษาเพื่อเจริญศรัทธาในสังคมในโลก จากโลกเป็นธรรม ธรรมจากหัวใจที่สูงส่ง จากใจที่อ่อนแอ ใจที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์ อ่อนแอพึ่งตัวเองไม่ได้ คอยแต่พึ่งพาอาศัยเขา จะให้เขามาดูแลรักษาอยู่ตลอดไป นี่จิตใจที่อ่อนแอ

จิตใจที่เข้มแข็ง! ใครจะมาดูแลหรือไม่ดูแลไม่สำคัญ สิ่งที่เป็นของๆ สงฆ์ เราดูแลของๆ สงฆ์ของเราไป จะมีใครสนใจหรือไม่สนใจ ใครจะมาดูแลหรือไม่ดูแล มันเรื่องของเขา

เรื่องของเรา เรารักษาใจของเราไว้ได้ ใจของเรามีความร่มเย็นเป็นสุข เราจะไปตื่นเต้นกับอะไร เราดูแลของเราเห็นไหม นี่จิตใจที่มันสูงกว่า จิตใจที่มันมีคุณธรรมดีกว่า เรื่องของโลกๆ มันก็ทำให้เป็นธรรมขึ้นมา ถ้าจิตมันมีธรรมขึ้นมา มันอบอุ่นใจของมันขึ้นมา มันอยู่ที่ไหนมันก็อยู่ได้ พออยู่ได้ขึ้นมานี้จิตก็เป็นปกติ สติมันก็ตามมา เรามีการตั้งสติกับตัวเราไว้ เวลาเรามาเร่งทำความเพียรของเราสมาธิมันก็เกิดขึ้นง่าย ไม่ใช่ว่าทำหน้าที่การงาน ทำงานแล้วจะภาวนาไม่ได้

ทำงานก็ภาวนาได้ แต่การภาวนาของผู้ที่ทำงาน มีสติสัมปชัญญะของเรา ร่างกายมันจะอ่อนเพลีย ถึงว่าเป็นการพักผ่อน

พระโมคคัลลานะเป็นพระโสดาบันนะ ฟังธรรมของพระสารีบุตรมาจากพระอัสสชิแล้วเป็นพระโสดาบัน เวลามาขอบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ออกป่าไปนั่งสมาธิภาวนา พระโสดาบันยังนั่งโงกง่วงเลย พระโมคคัลลานะเป็นพระโสดาบัน นั่งจะหลับโงกง่วง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาด้วยฤทธิ์

“โมคคัลลานะ เธอง่วงเหงาหาวนอนนะก็หงายหน้าดูดาว เอาน้ำลูบหน้า ตรึกในธรรม ถ้าง่วงนักก็นอนซะ ตื่นขึ้นมาแล้วค่อยภาวนาใหม่” การที่ธาตุขันธ์มันยังใช้อยู่มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา พลังงานทุกอย่างมันใช้ไปมันก็อ่อนไปธรรมดา

จิตของคน สมาธิของคน ปัญญาของคน มันมีล้า มันมีเหนื่อย มันมีอ่อนเป็นเรื่องธรรมดา แต่คนที่จะบำรุงรักษานี่ เราอย่าไปตื่นเต้นจนเราทำอะไรไม่ได้เลย เราเกร็งไปหมดเลย ทำสมาธิก็กลัวสมาธิจะเสื่อม ทำปัญญาก็กลัวปัญญาจะก้าวเดินไปไม่ได้ ห่วงหน้าพะวงหลังจนทำอะไรไม่ได้เลย

หน้าที่ของเราก็ทำของเราไปโดยสัจจะความจริง ตั้งสติไว้ มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา ทำสิ่งใดมันก็เป็นธรรมไปทั้งนั้นแหละ แต่ในเมื่อพลังงานทุกอย่างมันใช้มันก็ต้องมีเสื่อมเป็นธรรมดา สมาธิมันก็ต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา เราก็ต้องสร้างของเราตลอดไป ต้องมีสติของเราไป มีการบริกรรมของเราไป รักษาใจของเราตลอดไป

ปัญญาเราก็ฝึกฝนของเรา ปัญญาจะเกิดเองไม่ได้ ปัญญาเกิดเองเป็นสัญญา เป็นปัญญาของครูบาอาจารย์ เป็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัญญากับตำรา มันเป็นปริยัติ

ถ้าเป็นปัญญาในธรรม ปัญญาของพระพุทธศาสนา ปัญญามันเกิดในปัจจุบัน เกิดจากจิตสงบแล้วมันเข้าไปเผชิญหน้า อย่างเช่น เราออกไปแสวงหาสิ่งใด แล้วเราไปประสบสิ่งใดที่มันไปกระทบต่อหน้า ปัญญามันเกิดขึ้นเดี๋ยวนั้นไง คือเหตุปัจจุบันไง ปัจจุบันที่มีปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะหน้า แล้วปัญญามันใคร่ครวญเฉพาะหน้า มันตัดสินกันเดี๋ยวนั้น! แล้วเหตุผลมันลงตัวเดี๋ยวนั้นด้วยกำลังของสมาธิ กำลังของปัญญา มันเข้าใจเดี๋ยวนั้น มันปล่อยวางเดี๋ยวนั้น นี่คือโลกุตตรปัญญา นี่เหตุการณ์เฉพาะหน้า เหตุการณ์เฉพาะหน้าคือเฉพาะหน้าของเรานะ

แต่เหตุการณ์เฉพาะหน้าของธรรม จิตมันไม่เคลื่อน จิตเคลื่อนเห็นไหม ปัจจุบัน แค่ขยับมันก็เคลื่อนเป็นอดีต-อนาคตแล้ว พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิที่มันตั้งมั่น การตั้งมั่นในปัจจุบันนั้นคือสมาธิ

สมาธิคือจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นคือจิตที่เป็นปัจจุบัน แต่จิตที่เป็นปัจจุบันมันสะสมยังไงมันถึงเป็นปัจจุบันล่ะ แต่สิ่งที่มันเคลื่อน ดูสิ อย่างอัปปนาสมาธิออกมาเป็นอุปจารอัปปนาสมาธิ มันถอยออกมานี้เป็นอดีต-อนาคตหรือยัง? การขยับของจิตที่มันเข้า-ออก มันเป็นอดีต-อนาคตหรือยัง

สิ่งที่มันเป็นปัจจุบันเป็นปัจจุบันยังไง มันปัจจุบันอย่างหยาบ ปัจจุบันอย่างละเอียด ปัจจุบันมันก็ลึกซึ้งเข้าไป ดูสิ สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา ปัญญามันจะไล่ต้อนกิเลสเข้าไป พร้อมกับสติสมาธิเข้าไป นี่การต่อสู้ของจิต!

นี่ไง ผู้มีความสำคัญ มันเห็นความสำคัญของศาสนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะสร้างบุญญาธิการขึ้นมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะออกมาประพฤติปฏิบัติรื้อค้นขึ้นมาจนตรัสรู้ขึ้นมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเรามีความใฝ่รู้ เห็นภัยในวัฏฏะ มีความตั้งใจของเรา เราจะต่อสู้ การต่อสู้นี้เป็นธรรมส่วนบุคคล

สมาธิเป็นสมาธิของเรา ปัญญาก็เป็นปัญญาของเรา การต่อสู้คือการต่อสู้ คือมรรคญาณที่มันเกิด ธรรมจักร จักรมันหมุน ปัญญามันหมุน สติ สมาธิ ปัญญา มันหมุนเข้าไป ชำระกิเลสมันหมุนอย่างไร มันตั้งต้นอย่างไร แล้วมันรวมตัวอย่างไร มันถึงมรรคสามัคคี มันถึงเข้าไปทำลายกิเลสในหัวใจ มันทำของมันอย่างไร มันต้องมีเหตุมีผลของมันนะ นี่ความสำคัญมันอยู่ที่นี่

ความสำคัญคือมันอยู่กับภูมิรู้ ภูมิรู้ทางความเป็นจริงของจิตที่มันวิวัฒนาการของมัน ที่มันสร้างขึ้นไป แล้วบอกว่าทำอะไรไม่ได้ ถ้าทำไปมันเป็นความอยาก มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ก็กิเลสไง! เอามรรค เอาการเคลื่อนไปของธรรมเข้าไปทำลายกิเลส

กิเลสมันอยู่เฉยๆ กิเลสมันจะชำระตัวมันเอง มันเป็นไปได้อย่างไร มันไม่ใช่เจดีย์ทราย เวลาคลื่นลมพัดมามันจะได้กลับคืนสู่สภาพของทรายอย่างเดิม นี่มันกิเลสนะ แก่นของกิเลสมันแข็งมาก แก่นของกิเลสมันอยู่ในหัวใจ ถ้ามันอยู่หัวใจทำไมมันพาจิตนี้ตายเกิด ตายเกิดไม่มีต้นไม่มีปลาย แล้วเวลาชำระมันก็เอาแต่ลูบๆ คลำๆ

เวลาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะเป็นสัญญาณ ลูบๆ คลำๆ เข้าไปนะ เข้าไปโอ้โลมปฏิโลมกับกิเลสว่าจะชำระกิเลส เข้าไปลูบ ไปดู ไปคลำๆ กัน มันจะไปชำระกิเลสได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ อ่อนแอเกินไป วุฒิภาวะของจิตไม่มี ภาวะของจิตไม่มี ความที่ต่อสู้กับกิเลสไม่มี

แล้วเวลาเราทำจริงทำจังขึ้นมาก็ว่า “อันนี้เป็นอัตตกิลมถานุโยค อันนี้เป็นการทำตนให้ลำบากเปล่า” แต่เวลาไปนอนจมกับกิเลส นอนให้กิเลสมันขี่คออยู่ อันนั้นเป็นความดีความชอบเขา

นี่วันสำคัญของศาสนา เราต้องตั้งใจนะ เราเป็นนักรบ เราเป็นภิกษุ แล้วศาสนาเห็นไหม แก่นของศาสนา ต้นไม้มันยังมีแก่น นี่รากของศาสนานะ มีครูบาอาจารย์ของเรา เป็นแก่นของศาสนา ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ของเราเป็นผู้ชี้นำขึ้นมา ใครจะมีความตั้งใจมีความจงใจ

เรื่องของโลกธุรกิจการค้าของเขา เขาทำเขายังต้องทันต่อสังคม ต้องทำการวิจัย ต้องทันโลก แล้วกิเลสของเรามันไม่มีตัวไม่มีตน มันเป็นนามธรรม มันไม่มีตัวมีตนแล้วมันทุกข์ได้อย่างไร มันเป็นอนุสัยนอนเนื่องมากับความคิด อาศัยนอนเนื่องมากับนิสัยใจคอ

มันอาศัยความคิดของเรา อาศัยนอนเนื่อง ความคิดเราเท่าไหร่มันก็นอนเนื่องมาตลอด มันบวกมาตลอด บวกกับความคิด บวกกับความรู้สึก บวกกับความพอใจ บวกกับการศึกษา บวกกับการปฏิบัติ ทำอะไรกิเลสมันมีส่วนร่วมไปหมดเลย แล้วมันก็ทำให้เราล่มสลาย มันก็ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จสักอย่างหนึ่ง ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะปฏิบัตินะ ตั้งใจจะทำคุณงามความดี กิเลสมันก็มีส่วนร่วม มันเป็นอนุสัยนอนมากับจิต นอนมากับความคิด

ถ้ามันไม่มีความคิด ไม่มีการกระทำขึ้นมามันจะเป็นความคิดเราได้อย่างไร ความคิดของเรา แล้วมันก็นอนด้วยอนุสัย นอนด้วยกิเลสมาตลอดเวลา แล้วธรรมมันเกิดมาจากไหน อะไรจะเป็นธรรมล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาปฏิบัติ ปฏิบัติมาอย่างไรล่ะ เอาอะไรต่อสู้กับกิเลสมา ก็มีสติไง สติยับยั้งมัน มีสติ ความคิดเราก็คิด แต่เราคิดด้วยคุณงามความดี แต่ถ้ามันจะมีกิเลสบวกได้ก็ให้มันบวกไป ถ้าทำคุณงามความดีแล้วเราใช้สติสัมปชัญญะ ใช้ปัญญาไล่เข้าไป เวลามันปล่อย เออ! มันปล่อยเห็นไหม มันไม่บวก มันปล่อยให้เป็นอิสระชั่วคราว.. ชั่วคราว.. ชั่วคราวนะ.. เวลามันปล่อยนะ ว่าง.. ปล่อยสบายเป็นครั้งเป็นคราว

ถ้าปล่อยสบายเป็นครั้งเป็นคราวมันไม่บวก ถ้ามันบวกขึ้นมามันจะไม่ปล่อยให้เราสบาย ถ้ามันปล่อยให้สบายเราได้ลิ้มรสอะไรต่างๆ ที่พ้นจากอำนาจของกิเลส เราจะดื่มด่ำในรสชาตินั้น แล้วเราจะเห็นความต่าง กิเลสมันไม่ยอมให้เราได้ลิ้มรสอย่างนี้หรอก มันจะพยายามจะครอบงำอยู่

แต่! แต่เพราะความเพียรของเรา เพราะสติของเรา เพราะความมั่นใจของเรา เพราะความเพียรชอบ เพราะความวิริยะอุตสาหะของเรา มันถึงทำให้เราเห็นความต่าง ลิ้มรสของการปล่อยวาง จิตที่มันปล่อยวางมันยังช่วยเหลือตัวมันเองไม่ได้ เพราะปล่อยวางอย่างนี้มันปล่อยวางโดยสมถะ มันปล่อยวางด้วยคำบริกรรม มันต้องปล่อยวางไปก่อน

ถ้าไม่มีสิ่งที่ปล่อยวางอย่างนี้เลย มันไม่มีสิ่งใดที่เป็นหลักเป็นฐานที่จะไปต่อสู้กับกิเลส จะเอาอะไรจะไปต่อสู้มัน เวลาเขาทำธุรกิจกันเขาต้องมีทุนนะ เขาต้องมีการทำการวิจัยนะ เขาต้องมีเทคโนโลยีของเขาๆ จึงจะออกไปทำธุรกิจของเขาได้

แล้วใจมันมีอะไรล่ะ เราจะมีอะไรไปสู้กับกิเลส กิเลสมันเป็นเรา ทุกอย่างก็เป็นเรา แล้วเอาสติสัมปชัญญะยับยั้งมันจนเห็นความต่างในจิต จิตมันแบ่งเป็นธรรมกับแบ่งเป็นกิเลส แบ่งที่มันปล่อยมันวาง มีความสุข มีความสงบ มันเป็นธรรม มันเอาธรรมอันนั้นมาเปรียบเทียบกับเวลากิเลสมันเต็มตัว มันมีความทุกข์ขนาดไหน เวลามันเป็นธรรมขึ้นมามันมีความสุขขนาดไหน มันมีฝ่ายตรงข้าม มันมีฝ่ายจุนเจือแล้ว เพราะอะไร เพราะกิเลสเกิดแล้ว

เวลาปฏิสนธิจิต จิตนี้มันเกิดในไข่ของมารดา มันไปเกิดเป็นโอปปาติกะ ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันไปเกิดอย่างไร จิตมันไปเกิดอย่างไร มันเอาอะไรไปเกิด เวลามันเกิดมันรวมเป็นเอกภาพ รวมเป็นหนึ่งเดียว มันไปปฏิสนธิจิต มันถึงไปเกิดเป็นลักษณะนั้น ลักษณะนั้นได้

แต่ในขณะที่ปฏิบัติน่ะ ถ้าไม่ปฏิบัติจิตมันเป็นเอกภาพ คือมันเป็นกิเลส กิเลสมันครอบงำอยู่ อวิชชามันก็ไปเกิดโดยธรรมชาติของมัน แต่เวลามันมีปัญญาขึ้นมามันแบ่ง เวลามันปล่อยวางขึ้นมามันมีอิสรภาพชั่วคราว มันปล่อยวางชั่วคราว นี่ไงฐาน ทุนมันมี การต่อสู้กับกิเลส การต่อสู้กับตัวตนของเรา

เขาทำธุรกิจการค้า เขามีคู่ค้าของเขา เขามีตลาดของเขา เขาถึงประสบความสำเร็จของเขา แล้วเรานี่กิเลสกับธรรมในหัวใจเป็นคู่ค้า! คู่ค้าระหว่างธรรมกับกิเลสในใจ มันต่อสู้กันอย่างไร มันเริ่มต้นอย่างไร มันมีเหตุมีผลอย่างไร ถ้ามันมีเหตุมีผลของมัน มันยังมีการกระทำของมัน มันมีฝ่ายแพ้ ฝ่ายชนะ มันมีการเริ่มต้น มันมีการปฏิบัติของมัน

ยิ่งพอเริ่มต้นดำเนินการไปได้คู่ค้า ระหว่างธรรมกับกิเลสมันต่อสู้กันในหัวใจนะ ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เก้าอี้ดนตรีเห็นไหม ถ้ากิเลสนั่งมีแต่ความทุกข์ ความระทม มีแต่ความเศร้าสร้อยหงอยเหงา เพราะกิเลสมันมีกำลังมากกว่า

แต่ถ้าเราตั้งสติของเรา ปัญญาของเราเกิดขึ้นมาวันไหน ถ้าสติปัญญามันพร้อมขึ้นมา มันก็ต่อสู้ขึ้นมา ธรรมะเข้าไปนั่งครองใจนะ โอ้โฮ.. โลกนี้สว่างไสว ..โลกนี้ผ่องใส.. โลกนี้ชั่วคราวหมดนะ! สิ่งที่มันเป็นชั่วคราวมันเกิดชั่วคราว เพราะความจริงจังของเรา นี่ความสำคัญ

ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เราสำคัญถึงวิธีการ สำคัญถึงมรรคญาณ สำคัญถึงสติปัญญาที่เราสร้างเราทำขึ้นมา เรามีความสำคัญ เราสร้างตัวเราขึ้นมา ผลมันจะตกผลึกลงที่ใจ

ธรรมะมันเป็นนามธรรม กิเลสก็เป็นนามธรรม กิเลสไม่อยู่บนดินฟ้าอากาศ กิเลสไม่ได้อยู่ในแบงก์ กิเลสไม่ได้อยู่ในเพชรนิลจินดา ในวัตถุไม่มีกิเลส ไม่มีธรรม ในโลกนี้ที่ไหนก็ไม่มีกิเลส ไม่มีธรรม มีเฉพาะหัวใจของสัตว์โลกเท่านั้น กิเลสมันมีอยู่เฉพาะในหัวใจของสัตว์โลก แล้วหัวใจของสัตว์โลกถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมา ใจที่เป็นธรรมมันจะมีคุณค่าที่ไหน

โลกนี้ไม่มี สมบัติใดๆ ในโลกนี้ไม่มีกิเลส ไม่มีธรรม มันเป็นแร่ธาตุอันหนึ่ง มีมนุษย์ต่างหาก มนุษย์ไปตื่นค่ากับมัน มนุษย์ไปให้ค่ากับมัน กิเลสของมนุษย์มีกิเลสมาก ก็แสวงหามา อยากได้มากก็มีความทุกข์มาก

กิเลสของมนุษย์มีน้อย มีความพอใช้พอสอยไปในชีวิต เอาชีวิตนี้มาศึกษา เอาหัวใจให้มีคุณค่า หัวใจมีคุณค่าที่ชนะมัน ที่มีค่าเหนือมัน ใช้มันให้เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยปัจจัย ๔ ให้มันเป็นปัจจัย ๔ ไม่ให้มันมีอำนาจเหนือจิต

แต่ถ้าคนที่มีกิเลสหนา ยอมให้จิต ยอมให้สิ่งที่มีคุณค่าไปแบกรับแร่ธาตุ ให้แร่ธาตุมีอำนาจเหนือกว่าแล้วทุกข์ เพราะอะไร ทุกข์เพราะเป็นขี้ข้า คำว่า “ขี้ข้า” เพราะอะไร ขี้ข้าเพราะคำนวณถึงต้นทุนกำไร แล้วมีความทุกข์ ทุกข์เพราะตัวเองทุกข์!

แต่เราทุกข์ เราก็ทุกข์เพราะเราเดินจงกรม เรานั่งสมาธิภาวนา ธรรมดาของร่างกาย ธรรมดาของหัวใจ มันต้องการความสะดวกสบายเป็นธรรมดา เราก็ให้มันพอสมควร เราเป็นคน เรามีชีวิต เรามีอาหาร เรามีที่อยู่อาศัย เราก็ต้องรักษาของเรา แต่เรามีเป้าหมายว่าเราไม่อยากมาเป็นอย่างนี้ซ้ำอีก

เราไม่อยากเกิด เราไม่อยากมาทุกข์ ในชาตินี้เรามีพ่อแม่ บวชก็มีอุปัชฌาย์มีครูบาอาจารย์ กิเลสมันมีพ่อมีแม่ที่ไหน มันเกิดแล้วเกิดเล่า พ่อแม่ของมันอยู่ที่ไหน พ่อแม่ของกิเลสมันเอาที่ไหนบ้างมาเกิด มาขับมาถ่ายในหัวใจของเรา

เราเกิดในชาติปัจจุบันเรามีพ่อมีแม่ ถ้าเราครองเรือนมันก็เป็นพ่อคนแม่คนไป แล้วมันก็เวียนตายเวียนเกิด มันก็ซับซ้อนอยู่อย่างนี้ มีสติ มีสัมปชัญญะ เวลาใช้ปัญญาใคร่ครวญอย่างนี้มันก็เห็นโทษของความทุกข์ เห็นโทษของการเวียนไปในวัฏฏะ แต่ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะ มันก็ตื่นเต้นไปกับเขา

เวลามันหลงนะ กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ เวลากิเลสมันเกิดขึ้นมา มันวาด มันคาดมันฝันว่าทำไปจะมีความสุขทุกอย่าง ทุกอย่างจะสมความปรารถนาทั้งนั้นเลย มันสร้างภาพไว้ข้างหน้าสวยงามมากเลย แล้วถ้าหลงเชื่อตามมันไปกิเลสวัฏฏ์จะเกิดกรรม กรรมคือการกระทำ แล้วผลวิบากจะเกิดขึ้นมา แล้วมันก็ช้ำตรอมใจอยู่ในหัวใจ

ทุกคนในสังคมโลก มนุษย์คิดอย่างหนึ่ง.. พูดอย่างหนึ่ง.. ทำอย่างหนึ่ง.. เพราะมันทุกข์อยู่ในหัวใจ แต่พูดออกมาไม่ได้ ก็พูดออกมาด้วยมารยาทสังคม คิดอย่างหนึ่ง.. พูดอย่างหนึ่ง.. ทุกข์อย่างหนึ่ง.. เราจะเป็นอย่างนั้นอีกไหม ถ้าเราไม่อยากเป็นอย่างนั้น เราจะต้องมีสติของเรา เราจะต้องเอาตัวเรารอดให้ได้

วันนี้วันวิสาขบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ในวันนี้ แล้วก็ตายในวันนี้เหมือนกัน แล้ววางธรรมไว้ให้เราก้าวเดินในวันนี้ เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสนะ บุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธชิโนรส เราเป็นบุตรพระพุทธเจ้า เราเป็นศากบุตร เราจะทรงธรรมทรงวินัยไหม เราจะเอาตัวของเราเองรอดได้ไหม เราจะตั้งใจของเราไหม

ถ้าเรามีปัญญาของเรา เราต้องเอาตัวรอดให้ได้ เราจะต้องตั้งตัวของเราขึ้นมาให้ได้ นี่ความสำคัญของพุทธศาสนา มันก็จะมาสำคัญอยู่ในหัวใจของเรา ถ้าในหัวใจของเรามีความสำคัญขึ้นมา เราก็จะเป็นพระที่มีความสำคัญขึ้นมาในหัวใจ มันมีอะไรล่ะ มันมีสมาธิ มันมีปัญญา มันมีคุณธรรม มันมีความร่มเย็นเป็นสุข มันอยู่กับโลกนะ ดูสิ โลกเขาคิดอย่างหนึ่ง.. พูดอย่างหนึ่ง.. ทำอย่างหนึ่ง..

ในหัวใจของคนที่มีคุณธรรม ธรรมเต็มหัวใจนะ ในหัวใจทำอย่างหนึ่ง พูดออกมาเขาไม่รู้ หัวใจเป็นธรรมแล้วจะพูดอย่างไรให้เขาเข้าใจ แล้วทำอย่างไรให้เขาเห็นคุณงามความดี เห็นไหม มันต่างกันกลับข้างเลย

เวลาเป็นปุถุชนคิดอย่างหนึ่ง คิดชั่วๆ แต่พูดไม่ได้ ทำก็ทำอีกอย่างหนึ่ง เวลาเป็นธรรม ธรรมะเต็มหัวใจ ถ้าธรรมเต็มหัวใจพูดออกไปมันก็เหมือนเพ้อเจ้อ! อู้ย! พูดนี่มันเป็นไปไม่ได้! มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อทำไม่ได้ คิดไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามันมีอยู่ มันเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อมันอยู่เต็มหัวใจอย่างนั้น

แล้วเรามีความสำคัญไหม เราจะทำอย่างนั้นขึ้นมาในหัวใจของเราไหม ถ้าเราทำอย่างนั้นขึ้นมาในหัวใจของเรา วันสำคัญทางศาสนาเตือนใจให้เราเป็นคนที่มีคุณค่า พระที่มีคุณค่า ศีลธรรมเป็นสมบัติของพระ ทางโลกสมบัติของเขาคือแก้วแหวนเงินทอง นั่นคือสมบัติของเขา สมบัติของโลกเขาเป็นวัตถุ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าของเขา

สมบัติของเราต้องมีศีล มีธรรม มีคุณธรรม เห็นไหม ขนาดโลกที่จิตใจเขาสูงส่ง เขายังรู้จักบุญกุศล เขายังรู้จักใฝ่หาของเขา

เราเป็นพระนะ “สิ่งใดที่ทำแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย” ตั้งสติไว้ อย่าทำ ทำแต่สิ่งที่ดีๆ ในการกระทำตั้งสติไว้ สติเป็นตัวยับยั้ง จิตใจ กิเลสตัณหามันต้องการขนาดไหน ตั้งสติไว้ ยับยั้งมันไว้ แล้วทำแต่สิ่งที่ดีๆ แล้วสิ่งที่ดีๆ ทำบ่อยครั้งเข้าจนเป็นจริตเป็นนิสัย ถ้าไม่ทำความดีไม่ได้ อยู่ไม่ได้เห็นไหม ต้องทำความดีตลอด ตั้งสติตลอด

ถ้าจิตมันเอาไม่อยู่กำหนดพุทโธ มันต้องอยู่ จิตมันดื้อขนาดไหนให้มันดื้อไป กำหนดพุทโธไว้ ตั้งสติไว้ ไม่อยู่ให้มันรู้ไปว่าพระพุทธเจ้าหลอก พระพุทธเจ้าจะโกหกเรา จะหลอกเราอย่างไร แล้วเกิดปัญญามันเกิดไม่ได้ ถ้าเกิดไม่ได้แล้วพระพุทธเจ้าเกิดได้อย่างไร ครูบาอาจารย์ของเราท่านเกิดมาได้อย่างไร

ครูบาอาจารย์ท่านมีบารมีของท่าน เราไม่มีบารมี เห็นไหม กิเลสมันสอยตลอด กิเลสมันทำให้ขาอ่อนตลอด ก็ท่านสร้างของท่านมา เราไม่ได้สร้างแล้วเราทุกข์ไหมล่ะ ถ้าเราทุกข์ เราปรารถนาพ้นจากทุกข์เราต้องทำ ของใครของมัน ของครูบาอาจารย์ท่านจะยากจะง่ายก็เป็นของท่าน ท่านเป็นที่ปรึกษาเป็นผู้ที่คอยชี้นำเราเท่านั้น ของๆ เรามันก็เป็นคุณประโยชน์ของเรา จะสุขจะทุกข์เราก็ต้องเข้มแข็งของเรา เราต้องต่อสู้ของเรา มาทำของเราเพื่อประโยชน์ของเรา นี่ประโยชน์ของเราเกิดขึ้น ถ้าเราเข้มแข็ง เรารู้จักหาช่องทางของเรา มันหาทางออกได้

ถ้าจิตใจอ่อนแอมันหาทางออกไม่ได้ แล้วกิเลสมันเหยียบย่ำทำลาย มันไม่ให้ทางออกด้วย มันเหยียบย่ำทำลายด้วย แล้วมันท้อถอยด้วย หรือไม่มันก็หน้าด้านไปอย่างนั้น นั้นเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ นั่นเป็นเรื่องของท่านที่ท่านรักษาเป็นศาสนาไว้ให้เข้มแข็ง

เราอยู่ของเรา เราก็อยู่ของเราไปวันๆ เพื่อความสุขสบาย เวลากิเลสมันหน้าด้าน มันด้านไปตลอด เราต้องมีความละอาย มีหิริ มีโอตตัปปะ มีความเกรงกลัว มีความละอาย มีความสำคัญในหัวใจ มีสติสัมปชัญญะ

เราจะเป็นพระที่ดี เราจะเป็นที่พึ่งอาศัย อายุพรรษามันจะแก่ไปข้างหน้า จะเป็นอาจารย์เขาไปข้างหน้า แล้วถ้าเป็นอาจารย์เขาไปข้างหน้า เราไม่มีสิ่งใดเป็นจุดยืนเอาไว้คอยแนะนำเอาไว้คอยสั่งสอนเขา แล้วเราจะอยู่อย่างไร เราต้องฝึกของเรา เราต้องสร้างของเรา เพื่อประโยชน์กับตัวเราเอง เพื่อประโยชน์เริ่มต้น มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นธรรมรส

“รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง” มันดูดดื่มในหัวใจ มีความสุขอย่างไร ครูบาอาจารย์ท่านบอก “สุขหนอ สุขหนอ” สุขอย่างไร มีความสุขของท่าน และความสุขนี่เป็นความสุขที่เราเก็บไว้ บอกเขาไปเขาก็ว่าเหมือนกับเราเล่นแร่แปรธาตุ ทุกข์ตรมในใจแล้วก็มาว่าสุขๆๆ หลอกกันไปวันๆ หนึ่ง เขียนเสือให้วัวกลัว เวลากิเลสเราพูดออกไป เขาตีค่าเป็น ๒ แง่ ๓ ง่ามไปเรื่อยล่ะ เราเก็บไว้ในใจ

ถ้าพูดเป็นประโยชน์ก็พูด ถ้าพูดไม่เป็นประโยชน์เราไม่ต้องพูดเราเก็บไว้ในหัวใจ เราสร้างของเราขึ้นมา เราตั้งสติของเราขึ้นมา ทำเพื่อประโยชน์ของเราขึ้นมา ต่อไปอายุพรรษามากขึ้นไป เราจะได้เป็นที่พึ่งอาศัยของหมู่คณะ เป็นที่ดูแล ศาสนาจะเข้มแข็งก็เข้มแข็งจากภิกษุก่อน ถ้าภิกษุอ่อนแอ ผู้นำอ่อนแอ สังคมอ่อนแอ ทุกอย่างจะพากันอ่อนแอไปหมด

ถ้าภิกษุเป็นผู้นำของเขา ภิกษุเข้มแข็ง ผู้นำที่เข้มแข็ง สังคมเขาจะอ่อนแอ เขาจะเหลวไหลไปขนาดไหน เราฝืนไว้ เรายืนของเราไว้ ดึงไว้ ขืนไว้ สังคมเขาต้องเหลียวมามอง สังคมเขาต้องมีที่พึ่งอาศัย เราหาจุดยืนของเราให้ได้ เพื่อประโยชน์กับเราเป็นอันดับแรก

อันดับแรกของเราเพื่อประโยชน์ของเรา ธรรมรส ประโยชน์ของเราเกิดขึ้นมาแล้ว ประโยชน์ของสังคมจะเกิดขึ้นมา ประโยชน์ของศาสนาจะเกิดขึ้นมาจากการกระทำคุณงามความดีของเรา เอวัง